ประโยชน์ของน้ำมันปลา 15 ข้อ !
คำเตือนและข้อควรรู้ 20 ข้อ!
น้ำมันปลา คืออะไร? น้ํามันปลา หรือ Fish oil คือส่วนที่สกัดมาจากจากส่วนของเนื้อ
หนัง หัว หาง ของปลาโดยเฉพาะปลาในเขตหนาว
ซึ่งในน้ำปลาจะมีกรดไขมันอยู่หลายชนิด
น้ำมันปลาประกอบด้วยประกอบด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 และกรดไขมันโอเมก้า-6 สำหรับกรดไขมันโอเมก้า-3 นั้นจะแบ่งออกเป็น EPA และ DHA เป็นหลักซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก เพราะว่าร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ และต้องได้รับจากสารอาหารเท่านั้น
และสำหรับกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า-6
นั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กันเพราะช่วยลดไขมันได้เลือดได้ นอกจากปลาแล้วยังพบมากในน้ำมันพืชหลายชนิด เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น
น้ํามันปลา จากแหล่งธรรมชาติที่ดีควรมาจากปลาทะเล
อย่างเช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน
ปลาทูน่า ปลาซาบะ ปลาเฮอร์ริ่ง
ปลาแมคเคอเรล ปลาแงโชวี่ ปลาไวท์ฟิช
ปลาบลูฟิช ปลาชอคฟิช ปลานิลทะเล
ปลาดุกทะเล หอยกาบ หอยนางรม หอยพัด กุ้ง
ปลาหมึก และสำหรับปลาอื่น
ๆเผื่อไว้เป็นตัวเลือก เช่น ปลาตาเดียว
ปามาฮีมาฮี ปลากะพงแดง ปลาเทราต์
(ปลอดภัยสำหรับผู้ชายและ ผู้หญิงที่ไม่ได้อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ และรับประทานได้ไม่เกินสัปดาห์ละครั้ง) สำหรับ ปลามาฮีมาฮีและกะพงแดงจะมีระดับสารปรอทในระดับปานกลาง ควรจำกัดการรับประทานในเด็กและหญิงวัยเจริญพันธุ์ ให้รับประทานเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น
ปลาที่เลี้ยงในบ่อนั้น จะมีกรดไขมันโอเมก้า-6
มากกว่าโอเมก้า-3 และน้ำมันปลาทะเลเข้มข้นประมาณ
10 แคปซูลจะมี EPA อยู่ประมาณ 1,800 มิลลิกรัม (แซลมอน 4
ออนซ์จะมี EPA ประมาณ 1,000 มิลลิกรัม)
แล้วโอเมก้า-3 กับโอเมก้า-6 มันมีความแตกต่างกันยังไงละ?
ตอบ โอเมก้า-3 เท่านั้นที่ลดได้ทั้งระดับไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอล
ประโยชน์ของน้ำมันปลา
- ช่วยบำรุงสุขภาพผิว เส้นผม และเล็บให้มีสุขภาพดี
- ช่วยป้องกันการเกิดภาวะสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ จบแล้วประโยชน์ของน้ำมันปลา
- น้ํามันปลาช่วยบำรุงประสาทและสมอง ช่วยเพิ่มความจำและความสามารถในการเรียนรู้
- ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกรีเซอไรด์ที่เป็นอันตราย
- ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจวายเฉียบพลัน
- ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
- ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดเส้นเลือดในสมองแตก
- น้ํามันปลาช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว
- ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือด เพราะไปลดความหนืดของเกล็ดเลือด และลด ปริมาณสารไฟบรินในเลือด
- ช่วยรักษาและลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านม
- ช่วยบรรเทาอาการคันและแห้งของโรคสะเก็ดเงิน
- ช่วยลดความถี่และความรุนแรงของโรคปวดศีรษะไมเกรน
- น้ํามันปลาช่วยต่อต้านผลร้ายจากสารโพรสตาแกลนดินซึ่งมีส่วนไปลดภูมิต้านทานของโรคและไปเพิ่ม การเจริญเติบโตของเนื้องอก
- ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ ปวด บวมของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- ช่วยเพิ่มพัฒนาการในด้านสายตาและสมองของทารก
ดีเอชเอและการทำงานของสมอง
น้ำมันปลาประกอบด้วยกรดไขมันจำเป็นประเภทโอเมก้า 3 อยู่ในปริมาณสูง ซึ่งในกลุ่มของโอเมก้า 3 นั้น
มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว 2 ชนิดที่ สำคัญได้แก่
- กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic Acid) หรือ DHA
- กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (Eicosapentaenoic Acid) หรือ EPA
- แหล่งของ DHA และ EPA ในธรรมชาติพบมากในปลาทะเล และสาหร่าย โดย EPA จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหลอดเลือดหัวใจ ช่วยลดระดับของไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด (อ้างอิงที่ 1) ขณะที่ DHA มีความสำคัญต่อการทำงานของสมอง เพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมอง
- ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีผลงานวิจัยแสดงอย่างชัดเจนว่า สาร DHA ในน้ำมันปลามีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตั้งแต่แรกเกิดที่ต้องการ DHA ในปริมาณมากและเพียงพอ
เพื่อใช้ในการพัฒนาสมองได้อย่างเต็มที่ในวัยผู้ใหญ่
(อ้างอิงที่ 2) DHA จะผ่านเข้าไปในสมองและเสริมสร้างการเจริญเติบโตของปลายประสาทที่เรียกว่า เดนไดรต์ (dendrite) ซึ่งจะทำหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณและส่งผ่านข้อมูลระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน ทำให้เกิดการเรียนรู้และการจดจำ (อ้างอิงที่ 3) นอกจากนี้ DHA ยังมีความสำคัญต่อระบบประสาทตาและระบบการทำงานของสายตาอีกด้วย
(อ้างอิงที่ 2)
DHA ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความจำเสื่อม ชนิดที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในกลุ่มโรคความจำเสื่อม โดยจะมีการเสื่อมของเซลล์สมองในส่วนที่ควบคุมการเรียนรู้และความจำ โรคนี้ส่วนใหญ่พบในผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และอัตราความเสี่ยงของโรคจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น (อ้างอิงที่ 4) โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยด้วยโรคความผิดปกติของหลอดเลือด ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญที่อาจเกิดเซลล์สมองฝ่อเร็วกว่าคนทั่วไป (อ้างอิงที่ 5)
โรคอัลไซเมอร์ จะส่งผลให้เกิดความจำเสื่อม การทำงานประสานของร่างกายลดลง พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง หลงลืม สับสน และไม่สามารถปฏิบัติงานที่เคยทำปกติได้ การมีเหตุผลจะลดลง ที่สำคัญคือเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่สามารถรักษาให้หายได้(อ้างอิงที่ 4) ปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้ทั่วโลกประมาณ 33.9 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3 เท่าในอีก 40 ปีข้างหน้า สำหรับในประเทศไทยซึ่งมีผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปทั้งหมดประมาณ 8.3 ล้านคน คาดว่าจะมีผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ประมาณ 8.3 แสนคน และคาดการณ์ได้ว่าโรคอัลไซเมอร์จะเป็นปัญหาทางสาธรณสุขที่รุนแรงขึ้นในอนาคต ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อผู้เป็นโรคเท่านั้น ยังส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัวอีกด้วย ดังนั้น โรคอัลไซเมอร์จึงเป็นโรคที่น่ากังวลในปัจจุบันและอนาคตเป็นอย่างมาก (อ้างอิงที่ 6)
หนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ คือ การสะสมของ อะไมลอยด์ เบต้า (Amyloid Beta) จนกลายเป็น อะไมลอยด์ พล๊าค (Amyloid Plaques) ซึ่งมีความเป็นพิษต่อเซลล์ประสาท โดยจะทำลายสมดุลไอออน ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำลายโครงสร้างของเยื่อหุ้มเซลล์ที่มีไขมันและโปรตีนเป็นส่วนประกอบ และทำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ Microglia ซึ่งเมื่อ Microglia ถูกกระตุ้นจะทำให้เกิดการหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบที่เป็นพิษต่อ ระบบประสาท ซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์สมองถูกทำลาย (อ้างอิงที่ 4,7)
มีงานวิจัยสนับสนุนว่า DHA ในน้ำมันปลาช่วยเพิ่มสารที่มีชื่อว่า LR11 โปรตีน ซึ่งสามารถช่วยลดการเกิดอะไมลอยด์ เบต้า (Amyloid Beta) ที่จะรวมตัวเป็น อะไมลอยด์ พล๊าค (Amyloid Plaques) หนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ (อ้างอิงที่ 8) อีกงานวิจัยที่ทำการทดลองกับผู้สูงอายุ พบว่า การรับประทาน DHA วันละ 900 มก. เป็นเวลา 6 เดือน สามารถเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ และการจดจำได้ดี (อ้างอิงที่ 9) นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเพิ่มเติมสนับสนุนว่า DHA สามารถชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมประเภทอัลไซเมอร์ได้ โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพ และมีความปลอดภัยสูง (อ้างอิงที่ 10) รวมถึงงานวิจัยระบุว่าการที่ร่างกายได้รับ DHA ที่ไม่เพียงพอจะมีแนวโน้มทำให้มีโอกาสเกิดอนุมูลอิสระ เกิดปฏิกริยา lipid peroxidation ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ (อ้างอิงที่ 11)
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยในประเทศออสเตรเลีย โดยศึกษากับเด็ก อายุ 7-12 ปี ที่มีอาการสมาธิสั้นพบว่า การเพิ่มขึ้นของดีเอชเอในเม็ดเลือดแดง ส่งผลให้เด็กมีการอ่านคำที่ดีขึ้น การสะกดคำที่ดีขึ้น ความสนใจดีขึ้น พฤติกรรมที่ผิดปกติ ความกระสับกระส่าย และอาการสมาธิสั้นโดยรวมลดลง (อ้างอิงที่ 12) และมีงานวิจัยในประเทศโอมาน ระบุว่าเด็ก ที่เป็นโรคออทิซึม หรือ ผู้ป่วยออทิสติก จะมีระดับของ DHA ในเม็ดเลือดแดงต่ำเช่นเดียวกัน (อ้างอิงที่ 13)
ดังนั้นการรับประทานอาหาร หรือ อาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของ กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก หรือ DHA เป็นประจำ จะมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างพัฒนาการในเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น และผู้ป่วยออทิสติก นอกจากนี้ยังลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ และมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมอง เพิ่มการเรียนรู้ และการจดจำได้อีกด้วย
Fish Oil 4x น้ำมันปลา 4 เอ็กซ์ ตอบโจทย์คุณได้
สั่งซื้อสินค้า ได้ที่นี่...
โทร. 064-3698566
Line ID :popandgung
Email : popandgung@hotmail.com
หรือ คลิกที่นี้
หรือ สมัครกิฟฟารีน ออนไลน์ คลิ๊กที่นี่ (ให้ทางเราสมัครให้ครับ)
เป็นเพื่อนกับเราได้ที่...ติดต่อทางเฟสบุ๊ค